เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Microsoft ได้ปล่อยอัปเดต Patch Tuesday ประจำเดือนสิงหาคมสำหรับ Windows เวอร์ชันที่ยังได้รับการสนับสนุน โดยแม้อัปเดตดังกล่าวจะมาพร้อมการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงหลายด้าน โดยเฉพาะบน Windows 11 แต่ก็มีผู้ใช้จำนวนมากรายงานปัญหาการทำงานผิดปกติ เช่น การติดตั้งล้มเหลว ข้อมูลเสียหาย ไปจนถึงบันทึก Event Viewer ทำงานผิดพลาด และล่าสุด Microsoft ได้ออกมายืนยันว่ามีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นจริง
ในการอัปเดตแดชบอร์ด Windows Release Health Microsoft ระบุว่ามีบั๊กทำให้ ฟีเจอร์ Reset และ Recovery ใช้งานไม่ได้ บน Windows 10 และ Windows 11 บางเวอร์ชัน หลังติดตั้งอัปเดต Patch Tuesday ประจำเดือนสิงหาคม ซึ่งหากผู้ใช้พยายามรีเซ็ตหรือกู้คืนระบบ ไม่ว่าจะผ่านเมนู System > Recovery > Reset my PC, System > Recovery > Fix problems using Windows Update หรือแม้กระทั่ง RemoteWipe CSP ระบบจะล้มเหลวทันที
เวอร์ชันของ Windows ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่:
Windows 11, version 23H2
Windows 11, version 22H2
Windows 10, version 22H2
Windows 10 Enterprise LTSC 2021
Windows 10 IoT Enterprise LTSC 2021
Windows 10 Enterprise LTSC 2019
Windows 10 IoT Enterprise LTSC 2019
ทั้งนี้ Windows Server ไม่ได้รับผลกระทบ และ Windows 11, version 24H2 ซึ่งถูกโปรโมทว่าเป็นเวอร์ชันที่ “เสถียรที่สุด” ก็ไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน
อัปเดตฉุกเฉินจาก Microsoft
เนื่องจากบั๊กนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง Microsoft จึงเร่งปล่อยอัปเดตฉุกเฉิน (Out-of-band update - OOB) โดยไม่รอถึงรอบ Patch Tuesday ถัดไป ซึ่งกำหนดไว้ในวันที่ 9 กันยายน 2025
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 เวลา 21.50 GMT บริษัทได้ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้ว ดังนี้:
Windows 11, versions 23H2 และ 22H2 – KB5066189 (OS Builds 22621.5771 และ 22631.5771)
Windows 10, version 22H2 – KB5066188 (OS Builds 19044.6218 และ 19045.6218)
Windows 10 Enterprise LTSC 2021 และ Windows 10 IoT Enterprise LTSC 2021 – KB5066188 (OS Builds 19044.6218 และ 19045.6218)
Windows 10 Enterprise LTSC 2019 และ Windows 10 IoT Enterprise LTSC 2019 – KB5066187 (OS Build 17763.7683)
Microsoft ยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องติดตั้งอัปเดตเวอร์ชันก่อนหน้า เนื่องจากอัปเดตใหม่นี้เป็นแบบสะสม (cumulative update)
สรุป
หลังจากอัปเดต Patch Tuesday เดือนสิงหาคม ผู้ใช้ Windows 10 และ Windows 11 หลายเวอร์ชันพบปัญหา ไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ Reset และ Recovery ได้ โดย Microsoft ยืนยันปัญหานี้และได้ปล่อย อัปเดตฉุกเฉิน (Out-of-band update) เพื่อแก้ไขแล้ว ครอบคลุม Windows 10 และ 11 รุ่นที่ได้รับผลกระทบ ยกเว้น Windows Server และ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ที่ไม่พบปัญหา
ที่มา neowin